ถ้าคุณกำลังรู้สึกเหนื่อย ท้อแท้ หมดพลัง ไร้แรงบันดาลใจ หรือที่เราเรียกว่า‘หมด Passion’
นี่แหละคือ อาการหมดไฟ ภาวะหมดไฟในการทำงานหรือการเรียน(Burnout Syndrome)เป็นภาวะทางจิตใจที่เกิดจากการทำงานหนัก เรียนหนัก  แบกรับความเครียดและความกดดันจนเกินไป ส่งผลให้เราอยู่ในภาวะรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ มีทัศนคติแง่ลบ หมดแรงจูงใจในการทำงานหรือทำอะไรสักอย่าง ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานลดลง  รวมไปถึงอาจเกิดปัญหาในการแสดงออกทางอารมณ์และพฤติกรรมอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น อารมณ์แปรปรวน หดหู่ ไม่กระตือรือร้น ซึมเศร้า ไม่มีความสุขในการทำงานหรือทำอะไรสักอย่างที่เราเคยทำมันได้. เมื่อเราเริ่มมีอาการดังกล่าวแล้วเรามาดูวิธีแก้และรับมือกันดีกว่าา

                   “8 วิธีปลุกไฟในตัวเราอีกครั้ง”

1.กลับมาดูแลร่างกายตัวเองให้ดี
  เริ่มจากการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามเลี่ยงสิ่งเสพติด ไม่ว่าจะเป็น เหล้า บุหรี่ หรือว่ากาแฟ อาจจะลองลาพักผ่อนเป็นช่วยสั้น ๆ เพื่อให้ร่างกาย จิตใจ และอารมณ์ของคุณได้รีเฟรชและคืนความสมดุลกลับมา ไม่แน่ คุณอาจจะได้แรงบันดาลใจใหม่ ๆ กลับมาก็ได้

2.การนอน
  การนอน คือ การที่เราตัดปัญหาทุกอย่างรอบตัวออกไปสักพักให้สมองและตัวของเราได้พักผ่อน เพราะการอดนอนหรือนอนหลับไม่เพียงพอไม่ใช่แค่จะทำให้ร่างกายเราเสื่อมถอยเท่านั้น แต่จิตใจเราก็ได้รับผลกระทบโดยตรง สมองไม่ปลอดโปร่ง คิดได้ช้า รู้สึกอึนๆ อารมณ์หงุดหงิดง่าย ไร้เรี่ยวแรงพลังใจ สะสมไปนานเข้าก็ยิ่งทำให้หมดไฟวนไปอยู่นั่น การนอนให้เต็มอิ่มอย่างมีคุณภาพ เวลานอนคือนอน หยุดคิดเรื่องงาน ให้สมองได้พัก หยุดไถมือถือ ให้ใจได้ห่างโลกที่หมุนเร็วๆบ้าง แล้วนอนหลับอย่างเต็มอิ่ม ตื่นมาสดใสชาร์ทพลังตัวเองต่อไป
3.ปรึกษาหรือพูดคุยกับคนที่คุณสบายใจ
  คนส่วนมากพอเผชิญหน้ากับอาการหมดไฟ หมดแพชชั่น หาแพชชันไม่เจอ ก็จะคิดว่าเรารู้สึกแบบนี้อยู่คนเดียวแน่ ๆ แต่หารู้ไม่ว่าทุกคนก็รู้สึกแบบนี้กันทั้งนั้น ดังนั้นการพูดคุยแลกเปลี่ยนกับเพื่อน ๆ รุ่นพี หรือคนที่เราไว้ใจ อาจจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น บางทีเราอาจจะได้คุยกับรุ่นพี่ที่สามารถแนะนำสิ่งต่าง ๆ ให้เราได้ลองทำเพื่อพัฒนาสิ่งต่าง ๆ จากPassion 
ที่หมดไปก็ได้นะ
4.ไปหาของอร่อยๆกิน
  ทานอาหารอร่อยๆ ว่ากันว่าการได้กินอาหารอร่อยๆ ทุกวัน ก็สามารถสร้างความสุขเล็กๆ ให้เกิดขึ้นกับเราได้แล้ว ดังนั้น ในวันที่แบตเตอร์รี่ร่างกายของคุณเริ่มอ่อนแรง การชาร์จแบตด้วยอาหารดีๆ สักมื้อสองมื้อ อาจเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดในการทวงคืนพลังด้านบวกกลับมา
 
5.ชักปลั๊กให้ตัวคุณและออกไปเที่ยว 
  การที่เราออกไปสัมผัสธรรมชาติ ใครที่มีเวลามากพอ เราอยากให้คุณลองเอาตัวเองออกไปสัมผัสกับธรรมชาติที่ต่างจังหวัด เพราะการหนีออกจากวงจรที่ทำให้รู้สึกไม่ดี ละทิ้งทุกอย่างเอาไว้ตรงนี้สักพัก แล้วค่อยกลับมาแก้ปัญหากันใหม่อีกตั้ง อาจเป็นการช่วยเพิ่มพลัง และสามารถจัดการอะไรต่อมิอะไรได้ดี และมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิมด้วย
6.ปรับทัศนคติ เรียนรู้ความสามารถของตัวเอง
  สังเกตและกลับมาทบทวนว่าคุณมีความสามารถในการทำงานอย่างไร ทำอะไรได้ดี อะไรที่ต้องพัฒนา งานแบบไหนที่เราชอบหรือไม่ชอบ ลองกลับมาทำความเข้าใจตัวเองอีกครั้ง และพยายามมองทุกสิ่งอย่างที่มันเป็น รวมถึงความเครียด ซึ่งเป็นตัวการสำคัญของภาวะหมดไฟ ลองมองความเครียดในแง่ใหม่ มองว่าเป็นธรรมชาติของการทำงาน เป็นสิ่งที่สามารถมีได้ เพราะการมีความเครียดในระดับที่พอดี จะทำให้คุณมีความใส่ใจในการทำงาน ทำให้ผลงานออกมาเป็นที่น่าพอใจ
7.นึกถึงสิ่งรอบตัวเราที่ทำให้เรายิ้มได้
  หรือคุณอาจจะมองความสดใสในพาร์ตอื่น ๆ ของชีวิตดูบ้าง เพราะคนเราทุกคนคงจะไม่มีใครได้ทุกสิ่งที่สมหวังดั่งใจไปซะหมด ถ้าคุณรู้สึกเหนื่อยล้ากับงาน คุณอาจจะรู้สึกโฟกัสพลังไปที่ด้านอื่น ๆ ที่เป็นแง่ดีของชีวิต เช่น ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีเงินนำไปใช้จ่ายในการท่องเที่ยวที่คุณชอบ ขอบคุณที่อีกแป๊บเดียวก็เสาร์-อาทิตย์จะได้ไปดูหนัง ได้ไปทำกิจกรรมที่ชอบได้ไปออกกำลังกายแล้ว ขอบคุณที่ตอนนี้ยังมีเงินผ่อนบ้าน ขอบคุณที่กลับบ้านแล้วมีแมวอ้วนรออยู่ หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะทำให้คุณมีความสุข และได้ผ่อนคลายจากความเครียดไปได้บ้าง 
8.ออกกำลังกาย
  มีงานวิจัยหลายชิ้นที่แนะนำว่า การออกกำลังกาย สามารถช่วยบรรเทาความเครียดได้ รวมถึงถึงขั้นช่วยบรรเทาโรคซึมเศร้าได้เลยด้วย เพราะเมื่อเราออกกำลัง นอกจากเป็นการบริการกายแล้ว ยังได้เป็นการบริหารใจด้วย เอ็นดอร์ฟินหรือสารแห่งความสุขจะหลั่งออกมา ช่วยให้จิตใจจะสงบขึ้นไม่ว้าวุ่น และได้เอาพลังความเครียดที่อั้นอยู่มาปลดปล่อยและโฟกัสกับการออกกำลังแทน สุดท้ายยังช่วยให้เรานอนหลับได้ดีขึ้น มีแรงเติมไฟสู้กับวันใหม่ต่อไป

จริงๆนี่เป็นเพียงตัวเลือกเพื่อเติมไฟของเรา แต่ทุกคนก็มีหลากหลายรูปแบบแตกต่างกันไปให้ให้ทุกๆคนเลือกวิธีที่เหมาะกับตัวเองลองนำไปใช้กันดูค่ะ สุดท้ายแล้วไม่ว่าจะท้อจะหมดไฟในตัวเองมากแค่ไหน อย่าพึ่งคิดว่าไฟที่มอด คือตอนจบที่ไม่อาจจุดขึ้นมาให้ลุกโชนได้อีกแล้ว ขอให้เชื่อในตัวเอง ยึดมั่นในความฝันยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วพลังจะสถิตอยู่กับตัวเรา ตัวเราเลือกเอง.