Intermittent Fasting หรือ IF คือ อะไร? มีข้อดี-ข้อเสีย อย่างไร
IF ย่อมาจาก Intermittent Fasting ซึ่ง Intermittent แปลว่า ทำอะไรเป็นช่วงๆ ส่วน Fasting คือ การอดอาหาร เมื่อมารวมกันก็จะหมายความว่า "การอดอาหารในช่วงเวลาแต่ละวัน" โดยในแต่ละวันเราจะมีการแบ่งเป็นช่วงเวลาที่เรียกว่า Fasting การอด และก็ช่วง Feeding คือช่วงกิน สำหรับใครที่เริ่มหันมาสนใจดูแลตัวเองทั้งภายนอกและภายใน โดยเฉพาะเรื่องของรูปร่าง ต้องเคยได้ยินวิธี การทํา if มาบ้าง เพราะเป็นหนึ่งในวิธีที่ได้รับความสนใจ และถูกพูดถึงมากขึ้นโดยในแต่ละวันจะมีการแบ่งเป็นช่วงเวลา ในหนึ่งวันของแต่ละสูตร ซึ่งมีความแตกต่างกันในช่วงเวลาที่ไม่เท่ากัน หลัก ๆ จะมีตารางทำ if 6 รูปแบบครับ แต่ที่ได้รับความนิยมมากสุดคือ
1.Intermittent Fasting หรือIf 16/8
คือการจำกัดเวลาทานอาหารเพียงแค่ 8 ชั่วโมง และงดอาหาร 16 ชั่วโมง if แบบนี้แนะนำสำหรับมือใหม่!!!
2.Intermittent Fasting การอดอาหารแบบ 20/4
20 : 4 คล้ายกับ 16 : 8 แต่มีช่วงอดอาหาร 20 ชั่วโมง และมีเวลาที่รับประทานอาหารได้ 4 ชั่วโมงต่อวัน ADF หรือ Alternated Day Fast คือ กินอาหารวันเว้นวัน โดยวันหนึ่งกินได้ตามปกติ และวันต่อมาให้งดอาหารทั้งวัน โดยดื่มได้เพียงน้ำเปล่า กาแฟดำ หรือของเหลวที่ไม่มีแคลอรี่
If 23/1 คือการที่เพิ่มระยะเวลาอดอาหารเปน 23 ชั่วโมง และสามารถกินอาหารได้เพียง 1 ชั่วโมงเท่านั้น
การทํา if แบบ The Warrior Diet คือการอดอาหารในช่วงกลางวัน โดยสามารถดื่มได้แค่น้ำเปล่า และกลับมารับประทานอาหารหนักในมื้อค่ำเพียงมื้อเดียวเท่านั้น เฉลี่ยคือใช้เวลาในการอดอาหาร ประมาณ 19-20 ชั่วโมงต่อวัน
5. Intermittent Fasting ADF (Alternate Day Fasting)
IF แบบ ADF คือการอดอาหารแบบวันเว้นวันครับ วิธีค่อนข้างยากสำหรับคนเริ่มทำ เพราะต้องอด อาหาร 1 วัน กินอาหาร 1 วัน แล้วกลับมาอดอีก 1 วัน
ข้อดีและข้อเสีย
ข้อดี : การทํา if หลัก ๆ คือช่วยลดน้ำหนัก แต่ก็ยังมีข้อดีอื่น ๆ ที่ส่งผลดีต่อร่างกาย ดังนี้
ข้อเสีย : การทํา if ไม่ได้มีเฉพาะข้อดีเสมอไปครับ ข้อเสียที่อาจเกิดขึ้นได้ในบางคน เช่น
หลายคนที่ประสบปัญหาทำ IF น้ำหนักไม่ลด ปัญหาเหล่านี้เกิดจากการจัดตารางและรูปแบบอาหารอย่างไม่เหมาะสม ช่วงการอดอาหาร (fast) ก็คือการห้ามกินอาหารที่ให้พลังงานไม่ว่าจะเป็นข้าว ขนมปัง ผัก ผลไม้ นม โยเกิร์ต หรือแม้แต่ขนมและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลเป็นส่วนประกอบ แต่ยังสามารถดื่มเครืองดื่มทีไม่มีน้ำตาลได้ เช่น น้ำเปล่า ชาจืดทีไม่ใส่น้ำตาล กาแฟแบบที่ไม่ใส่นม ส่วนช่วงที่กินได้นั้น (feed) จะเลือกกินอาหารแบบเดิมที่กินเป็นปกติ หรือจะควบคุมอาหารให้มากขึ้นก็ได้ แต่ต้องไม่กินอาหารในปริมาณที่มากเกินไป เช่น การกินบุฟเฟต์ การกินอาหารที่มีพลังงานสูง โดยอย่าลืมการเลือกกินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่เพื่อให้ได้รับพลังงานเพียงพอต่อความต้องการและสารอาหารอย่างครบถ้วนด้วย
อีกหนึ่งอย่างที่สำคัญในการทำ IF คืออย่าหักโหม ไม่รีบ เนื่องจากการทำ IF เป็นวิธีการลดน้ำหนักแบบค่อยเป็นค่อยไป ให้ร่างกายคุ้นชินกับเวลาที่ไม่กินและดึงไขมันมาใช้ เพราะฉะนั้นการรีบตั้งคำถามว่าทำ IF กี่วันจะเห็นผลนั้นจะยิ่งเป็นการกดดันตนเอง การที่น้ำหนักจะลดหรือไม่นั้นเกิดจากหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับการควบคุมอาหารและเงื่อนไขร่างกายของแต่ละคน ยกตัวอย่างเช่นการดื่มน้ำในแต่ละวันที่ไม่เท่ากันนั้นก็ทำให้เกิดการเผาผลาญที่ไม่เท่ากัน อาหารที่ทานในช่วงที่กินได้ไม่เหมือนกันนั้นก็ทำให้การเผาผลาญต่างกัน เพราะฉะนั้นแล้วค่อยๆปรับตารางการกินและเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์โดยไม่ต้องหักโหมอดอาหารนั้นจะค่อยๆปรับนะคะ
ซาลาเปาแห่งการให้ ไว้ใจเรา
สั่งเลยง่ายๆ แค่แสกน หรือ Add Line : @Phoenix_Lava
**สามารถออกใบกำกับภาษีได้ทั้งแบบE-taxและแบบเป็นเอกสารตัวจริง
![]() |